《天人之合,堂皇典范——中国古代皇家宫苑之美》线上图片展(上)

คำนำ

พระราชวังต้องห้ามของประเทศจีนในสมัยโบราณเป็นแบบอย่างของการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมจีนโบราณและศิลปะของการจัดสวน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจจักรพรรดิในสมัยโบราณ มีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด มีเอกลักษณ์พิเศษ มีจิตวิญญาณการสร้างสรรค์อย่างเป็นธรรมชาติ แสดงถึงจุดสูงสุดของเทคนิคการก่อสร้างแบบจีนโบราณและผลงานศิลปะที่โดดเด่น สัญลักษณ์วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมและมุมมองเชิงปรัชญาจากการผสมผสานระหว่างธรรมชาติและมนุษย์แทรกซึมอยู่

นอกจากนี้ ยังมีสวนหลวงแห่งราชวงศ์ในกรุงปักกิ่ง เช่น สวนจิงซาน อุทยานเป๋ยไห่ พระราชวังหยวนหมิงหยวน สวนเซียงซาน เป็นต้น ซึ่งแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ได้มีการสร้างขึ้นอย่างสวยงามและชาญฉลาด

นิทรรศการภาพถ่ายนี้แสดงลักษณะการจัดวาง โครงสร้าง การตกแต่งที่สวยงาม รูปแบบสถาปัตยกรรม และภูมิทัศน์สวนของพระราชวังโบราณ ใช้กล้องจับภาพความงามของสี่ฤดูกาลและความงามของแนวความคิดทางศิลปะ ทำให้ผู้ชมได้สัมผัสกับวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมจากมุมมองที่แตกต่างกันและสัมผัสความงามของสถาปัตยกรรมของราชวงศ์จีนโบราณ

1.พระราชวังต้องห้ามกรุงปักกิ่ง และพระราชวังเสิ่นหยาง

พระราชวังต้องห้าม เป็นพระราชวังของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงของประเทศจีนในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1406 และโดยทั่วไปแล้วเสร็จราวปีค.ศ.1420 มีประวัติยาวนานกว่า 600 ปี พระราชวังต้องห้ามมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 961 เมตร และจากตะวันออกไปตะวันตก 753 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 725,000 ตารางเมตร และมีห้องจำนวน 8,707 ห้อง เป็นอาคารวังไม้ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีที่สุดในโลก อาคารโดยทั่วไปจะกระจายอย่างสมมาตรบนแกนกลางและแบ่งออกเป็น “พระราชวังฝ่ายหน้า” และ “พระราชวังฝ่ายใน” ทางตอนเหนือของพระราชวังเป็นสวนของจักรพรรดิ รูปแบบสถาปัตยกรรมของพระราชวังต้องห้ามนั้นให้ความรู้สึกหนักแน่น หรูหรา และการแบ่งลำดับขั้นอย่างเข้มงวด ในปีค.ศ.1987 พระราชวังต้องห้ามได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “ทรัพย์สินทางมรดกวัฒนธรรมของโลก” โดยองค์การยูเนสโก

พระราชวังเสิ่นหยาง ตั้งอยู่ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง สร้างขึ้นในปีค.ศ.1625 และเป็นพระราชวังในช่วงต้นราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1625-1644) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ในปีค.ศ.2004 พระราชวังเสิ่นหยางได้รับการจัดอันดับให้เป็น “รายการแหล่งมรดกโลก” โดยองค์การยูเนสโก

01

1.“เส้นศูนย์กลางของพระราชวังต้องห้าม”  ภาพโดย หม่าเหวินเซียว

        เมืองเก่าปักกิ่งมีผังเมืองที่สมมาตรจากทางตะวันออกไปทางตะวันตก เหลียงซือเฉิง สถาปนิกชาวจีนผู้มีชื่อเสียงเชื่อว่า “ความงดงามที่มีระเบียบเป็นเอกลักษณ์ของปักกิ่ง เกิดจากการจัดตั้งเส้นศูนย์กลางนี้ขึ้น” พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ที่เส้นศูนย์กลางของใจกลางปักกิ่ง และเส้นศูนย์กลางของพระราชวังต้องห้ามก็ถือเป็นตำแหน่งที่สูงส่งที่สุดในพระราชวังต้องห้ามอีกด้วย

02

2.“ประตูอู่”  ภาพโดย ซูเสี่ยวผิง

        ประตูอู่เป็นประตูหลักของพระราชวังต้องห้าม มีปีกทั้งสองข้างกางออกเหมือนปีกของห่านป่า มีชื่อว่าหอปีกห่าน อาคารสองหลังถูกสร้างขึ้นที่ปลายแต่ละด้านของปีกทั้งสองข้าง มีอาคารทั้งหมด 4 หลัง รวมกับอาคารหลักตรงกลางรวมกันซึ่งเรียกว่าหออู่เฟิ่ง มีประตู 3 บานอยู่ตรงกลางของประตูอู่ซึ่งมีความสูงเกือบ 38 เมตร เป็นอาคารที่สูงที่สุดในพระราชวังต้องห้าม

03

3.“ป้อมอาคารมุมตะวันออกเฉียงใต้”  ภาพโดย เฉินจิ้งเจ๋อ

        ป้อมอาคารเป็นอาคารสี่มุมของพระราชวังต้องห้าม หอคอยและป้อมปราการสูง 27 เมตร มีโครงสร้างที่ซับซ้อน มี 9 คาน 18 เสา และ 72 จั่ว สวยงาม ยิ่งใหญ่ วิจิตรตระการตา

04

4.“แม่น้ำจินสุ่ย”  ภาพโดย หยางฝาน

        แม่น้ำจินสุ่ยไหลผ่านจตุรัสไทเหอเหมิน มีรูปทรงคล้ายกับเข็มขัดหยก มีอีกชื่อเรียกว่าแม่น้ำอวี้ไต้ (แม่น้ำเข็มขัดหยก) แม่น้ำจินสุ่ยไหลเข้ามาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังและเข้าสู่คูเมืองจากทางตะวันออกเฉียงใต้ ทำหน้าที่ตกแต่งพื้นที่ให้สวยงาม ป้องกันไฟไหม้ ระบายน้ำท่วม และปรับฮวงจุ้ย

05

5.“จากประตูไท่เหอมองไปประตูอู่”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        ประตูไท่เหอเป็นประตูหลักนอกพระราชวังต้องห้าม หันหน้าไปทางประตูอู่ทางทิศใต้ เป็นที่สำหรับประการราชโองการของจักรพรรดิ  ประตูไท่เหอ กว้าง 9 ห้องและลึก 4 ห้อง เป็นประตูวังที่ใหญ่ที่สุดและตระการตาที่สุดในพระราชวังต้องห้าม

06

6.“บันไดหินตำหนักไท่เหอ”  ภาพโดย หลี่เหวินป๋อ

        บันไดหินเป็นหินสี่เหลี่ยมตรงกลางขั้นบันไดหน้าพระตำหนักในสมัยโบราณ บันไดจะถูกแกะสลักไปด้วยลวดลายของมังกร เมฆ และน้ำทะเล การแกะสลักโดยภาพรวมนั้นวิจิตรงดงาม เป็นงานแกะสลักหินขนาดใหญ่ที่หายากและเป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจของจักรพรรดิในสมัยโบราณ

07

7.“ภายในตำหนักไท่เหอ”  ภาพโดย จางหลิน

        ตำหนักไท่เหอเป็นตำหนักใหญ่ของตำหนักหลัก 3 แห่ง โดยมีพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดและมีความสำคัญสูงสุดในพิธีสำคัญ เช่น การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิงจะจัดขึ้นที่นี่ บัลลังก์ของจักรพรรดิเคลือบด้วยทอง เสาขนาดใหญ่ที่มีลายเมฆและลายมังกรปิดทอง เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของอำนาจจักรพรรดิในสมัยโบราณ

08

8.“สามตำหนักใหญ่”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        “สามตำหนักใหญ่” เป็นอาคารหลักของพระราชวังต้องห้ามและอาคารกลางของแขกสำคัญจากเมืองอื่นๆ เป็นที่ที่จักรพรรดิในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงจัดงานสำคัญของประเทศ จากใต้ (ขวา) ไปทางเหนือ (ซ้าย) เรียงเป็นตำหนักไท่เหอ ตำหนักจงเหอและตำหนักเปาเหอ ตำหนักทั้งสามตั้งอยู่บนฐานของหินอ่อนสีขาว 3 ชั้น รูปแบบและขนาดของสถาปัตยกรรมเข้ากันและความรู้สึกของความเป็นระเบียบ

09

9.“เพดานของวังจ๋าย”  ภาพโดย เฉินจิ้งเจ๋อ

        วังจ๋ายเป็นที่ประทับของจักรพรรดิก่อนการถือศีล วังจะตกแต่งลวดลายเพดานด้วยลายมังกรทอง ลวดลายเพดานมักถูกใช้ตกแต่งบนยอดอาคารในอาคารโบราณที่สำคัญและเป็นแก่นแท้ของศิลปะการตกแต่งสถาปัตยกรรมโบราณ ภาพมังกรสีทองนูนสูงและภาพบนเพดานเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจจักรพรรดิในสมัยโบราณ ความงามที่สมมาตรของรูปทรงเรขาคณิต ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ ความสมมาตร และความสมดุล

10

10.“ตำหนักบนน้ำของวังเหยียนสี่”  ภาพโดย สวีฮ่าวคุน

        วังเหยียนสี่เป็นหนึ่งในหกวังฝั่งตะวันออกของตำหนักชั้นใน เป็นที่พำนักของนางสนมในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ภายหลังถูกไฟไหม้ ในปี ค.ศ. 1909 “ตำหนักบนน้ำ” ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่เดิม โดยใช้สถาปัตยกรรมโครงสร้างเหล็กแบบตะวันตก แม้จะสร้างไม่เสร็จในตอนท้าย แต่ก็ยังคงอยู่ในพระราชวังต้องห้าม สัมผัสแห่งสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างจีนและตะวันตก

11

11.“วังเฉิงเฉียน”  ภาพโดย สวีฮ่าวคุน

        วังเฉิงเฉียนเป็นหนึ่งในหกวังฝั่งตะวันออกของตำหนักชั้นใน เป็นที่พำนักของนางสนม สนามหญ้าและอาคารยังคงรักษารูปแบบของราชวงศ์หมิงตอนต้น แตกต่างจากอาคารพระตำหนักขนาดใหญ่ เช่น สามตำหนักใหญ่ ลานภายในและตำหนังหลังใหญ่หันหน้าไปทางทิศใต้ ทำให้อบอุ่นในฤดูหนาวและอากาศเย็นสบายในฤดูร้อน มีการปลูกต้นแพร์และพืชชนิดอื่นๆ ในตำหนักเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่กลมกลืนกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

12

12.“ตำหนักทองของวังเฉียนชิง”  ภาพโดย ซ่งฉี

        ห้องโถงเล็กเคลือบทองแดงปิดทองหน้าวังเฉียนชิงมีความยาวประมาณ 1 เมตรและสูง 1.4 เมตร มีชื่อว่า “ตำหนักทองพืชผลอุกดมสมบูรณ์” ประตูวังขนาดเล็กแห่งนี้สามารถเปิดออกเพื่อวางธูปเทียนได้ เพื่อฝากความหวังของจักรพรรดิในความมั่นคงและอุดมสมบูรณ์ของประเทศ

13

13.“ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิของวังคุนหนิง”  ภาพโดย สวีฮ่าววั่ง

        วังคุนหนิงเป็นหนึ่งในสามตำหนักหลังชั้นใน ในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นวังหลักที่ฮองเฮาประทับอยู่ ในสมัยราชวงศ์ชิง ได้เปลี่ยนเป็นสถานที่สำหรับบูชาเทพเจ้าในวังและงานอภิเษกสมรสของจักรพรรดิ นอกจากนี้ยังมีต้นเอพริคอตสองต้นที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของวังคุนหนิง ช่วยเพิ่มบรรยากาศของช่วงฤดูใบไม้ผลิให้กับพระราชวังต้องห้ามในทุกๆ ปี

14

14.“หออวี่ฮวา”  ภาพโดย หลี่เส้าป๋าย

        หออวี่ฮวาเป็นอาคารทางพุทธที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม และเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูป รูปทรงของอาคารมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังคาของวัดปูด้วยกระเบื้องทองแดงปิดทอง มีเหล็กสามมิติและมังกรทองบนจั่วแนวตั้งทั้งสี่

15

15.“สวนอวี้ฮวาหยวน”  ภาพโดย จางซิ่ง

        สวนอวี้ฮวาหยวนเป็นสวนในพระราชวังที่จักรพรรดิและนางสนมในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงใช้เป็นสถานที่เที่ยวเล่นและพักผ่อน นอกจากนี้ยังเป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังต้องห้าม ครอบคลุมพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร สถาปัตยกรรมในอุทยานมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยพืชตระกูลต้นสนที่เขียวชอุ่มตลอดปี ตลอดจนภูเขาและโขดหินที่สวยงาม ซึ่งรวบรวมแนวคิดเรื่องความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในวัฒนธรรมจีนโบราณ

16

16. “ศาลาว่านชุน”  ภาพโดย จางหลิน

        ศาลาว่านชุนตั้งอยู่ในสวนอวี้ฮวาหยวน ทางด้านตะวันออกของตำหนักฉินอัน ศาลามีความสวยงามทางสถาปัตยกรรมแบบจีนที่มีรูปแบบหลากหลายที่สุด ศาลาหลังนี้มีรูปทรงสวยงาม มีโดมรูปร่มอยู่ชั้นบน มียอดรูปน้ำเต้าแก้วหลากสี รูปทรงคล้ายร่มพับกระดาษ

17

17.“ป้อมอาคารมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”  ภาพโดย จางหลิน

        นอกพระราชวังต้องห้าม เป็นวงกลมกว้าง 52 เมตร ลึก 6 เมตร ล้อมรอบด้วยคูน้ำที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อแม่น้ำถงจื่อ ในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินส่องแสงที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของอาคาร ซึ่งทำมุมสะท้อนตรงกันข้ามกับแม่น้ำถงจื่อ

18

18.“พระราชวังเสิ่นหยางมุมสูง”  ภาพโดย ซ่งเหวินข่าน

        พระราชวังเสิ่นหยางเป็นหนึ่งในอาคารพระราชวังที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในประเทศจีน โดยผสมผสานศิลปะสถาปัตยกรรมฮั่น แมนจู และมองโกเลีย ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมและลำดับการก่อสร้าง สามารถแบ่งออกเป็นสามส่วน คือ ถนนตะวันออก ถนนสายกลางและถนนสายตะวันตก

19

19.“พระราชวังเสิ่นหยาง ตำหนักฉงเจิ้ง”  ภาพโดย ห่าวก่วงเยว่

        ตำหนักฉงเจิ้งเป็นอาคารหลักในใจกลางพระราชวังเสิ่นหยาง เป็นสถานที่สำหรับว่าราชการและกิจการราชการ หลังคาด้านในของตำหนักใหญ่ไม่มีเพดาน และทั้งห้าห้องเชื่อมต่อกันโดยไม่มีฉากกั้น ทำให้ดูเหมือนกว้างและสูง มีบัลลังก์อยู่ตรงกลาง ตกแต่งด้วยทองคำและมังกรแกะสลัก แสดงถึงสถานะอำนาจของจักรพรรดิในสมัยโบราณ

20

20.“ศาลาสิบกษัตริย์ของพระราชวังเสิ่นหยาง”  ภาพโดย หลิวฮุ่ยหยวน

        ศาลาสิบกษัตริย์เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิและขุนนางชั้นสูงปรึกษาหารือกันและจัดพิธีใหญ่ในสมัยราชวงศ์ชิงตอนต้น

21

21.“ยอดหลังคาของตำหนักต้าเจิ้ง พระราชวังเสิ่นหยาง”  ภาพโดย เว่ยเจียหู

        ตำหนักต้าเจิ้งหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหอแปดเหลี่ยมเป็นอาคารที่สำคัญที่สุดในพระราชวังเสิ่นหยาง ตำหนักเป็นชายคาสูงแปดเหลี่ยมที่มียอดแหลมและทางเดินทั้งแปดด้าน สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามและความสง่างามของสถาปัตยกรรมราชวงศ์ในสมัยโบราณ

2. วิหารแห่งสวรรค์ตั้งอยู่ทางตอนใต้ ของกรุงปักกิ่ง

สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1420 เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงมาสักการะฟ้าและอธิษฐานขอให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ พิธีการนี้เริ่มต้นในสมัยจักรพรรดิสุ่ยเล่อแห่งราชวงศ์หมิง มีจักรพรรดิ 22 องค์ในราชวงศ์โบราณ ได้มาเหยียบบนแท่นบูชาและจัดพระราชพิธีสักการะฟ้าขึ้นที่นี่ พื้นที่ของวิหารแห่งสวรรค์ในสมัยโบราณมีพื้นที่ 2.73 ล้านตารางเมตร

อาคารหลักบนวิหารแห่งสวรรค์ ประกอบด้วยตำหนักอธิษฐานขอพืชผลและงานเขียนของจักรวรรดิ ทั้งเค้าโครงโดยรวมและอาคารเดี่ยว สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดจีนโบราณเกี่ยวกับจักรวาล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของท้องฟ้า วิหารแห่งสวรรค์เป็นอาคารแท่นบูชาที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดและเป็นอาคารบูชาโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปีค.ศ.1998 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของโลก” โดยองค์การยูเนสโก

01

1.“แท่นบูชาอธิษฐาน”  ภาพโดย หม่าเหวินเสี่ยว

        แท่นบูชาอธิษฐานเป็นสถานที่ประกอบพิธีสวดมนต์ของประเทศจีนในสมัยโบราณ ตั้งอยู่ในป่าสนเขียวชอุ่ม

02

2.“แท่นบูชาหยวนชิว1”  ภาพโดย หม่าเหวินเสี่ยว

        แท่นบูชาหยวนชิวเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นหอบูชาฟ้าเทียนถาน จักรพรรดิจะจัดพิธีสักการะฟ้าบนแท่นบูชาทุกช่วงเทศกาลตงจื้อ แท่นบูชาหยวนชิวแบ่งออกเป็นสามชั้น โดยแต่ละชั้นล้อมรอบด้วยราวบันไดหินอ่อนสีขาวที่แกะสลักอย่างประณีต กระดานชนวนทรงกลมตรงกลางเรียกว่า “หินเทียนซิน” เมื่อคุณยืนบนนั้น คุณจะรู้ได้ยินเสียงพูดของคุณดังกังวานไปรอบด้าน

03

3.“แท่นบูชาหยวนชิว2”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        มีเก้าขั้นบนทั้งสี่ด้านของแต่ละชั้นของแท่นบูชาหยวนชิว และมีราวบันได 72, 108 และ 180 ในแต่ละชั้น นอกจากนี้ หินในแต่ละชั้นยังคูณด้วยเก้า ในวัฒนธรรมจีนดั้งเดิม เก้าคือจำนวนที่มากที่สุดของดวงอาทิตย์ ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุด การใช้ “เก้า” ซ้ำๆ เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ทั้งเก้าและเน้นย้ำถึงอำนาจสูงสุดของสวรรค์

04

4.“กำแพงหินแท่นบูชาหยวนชิว”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        มีกำแพงแท่นบูชาหยวนชิวอยู่ 2 ด้านทั้งด้านในและด้านนอกแท่นบูชาหยวนชิว ด้านนอกและด้านในเป็นวงกลม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของท้องฟ้าซึ่งเป็นทรงกลม ผนังชั้นในตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าผนังย่อย มีประตูกลุ่มดาวเปิดอยู่รอบๆ ซึ่งเป็นรูปแบบประตูพิเศษสำหรับแท่นบูชาโบราณ แต่ละกลุ่มมีสามประตูซึ่งมีรูปร่างเหมือนซุ้มประตูและแกะสลักจากหินอ่อนสีขาว มี 24 บล็อกใน 8 กลุ่ม ทั้งภายในและภายนอกแท่นบูชาซึ่งเรียกว่า “หยุนเหมินอวี้ลี่”

05

5.“หอบูชาหวงฉงอวี้”  ภาพโดย เฉินจิ้งเจ๋อ

        หอบูชาหวงฉงอวี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของแท่นบูชาหยวนชิว สร้างขึ้นในปีค.ศ.1530 มีความสูง 19.5 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15.6 เมตร มียอดแหลมทรงกลมชายคาเดียว ปูด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินและหลังคาสีทองล้อมรอบด้วยลวดลายมังกรและภาพวาด

06

6.“หอบูชาเพื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์1”  ภาพโดย ซูถังซือ

        หอบูชาเพื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์เป็นอาคารหลักของวิหารแห่งสวรรค์ หรือมีอีกชื่อเรียกว่าตำหนักอธิษฐานขอพืชผล สร้างบนแท่นหินอ่อนสีขาว 3 ชั้น สูง 6 เมตร เป็นโครงสร้างไม้ชายคา 3 ชั้น สูง 38.2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 24.2 เมตร ชายคาสองชั้นและสามชั้น โดยมีการลดขนาดชั้นลงทีละชั้น รูปทรงโครงร่างทรงโค้ง

07

7.“หอบูชาเพื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์2”  ภาพโดย เฉินจิ้งเจ๋อ

        อาคารกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินของหอบูชาเพื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์มีความโดดเด่นที่สุด โดยมีภาพวาดมังกรอันวิจิตรงดงามทั้งภายในและภายนอกห้องโถง

08

8.“ตำหนักหวงกาน”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        ทางตอนเหนือของหอบูชาเพื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์คือตำหนักหวงกาน ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่เหนือสุดของวิหารแห่งสวรรค์ เป็นอาคารที่สำคัญของหอบูชาเพื่อพืชผลอุดมสมบูรณ์ ตำหนักหวงกานปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้า และมีฐานราวบันไดหินอ่อนสีขาวอยู่ข้างใต้ ภายในมีการประดิษฐานเทพเจ้าและบรรพบุรุษของจักรพรรดิ

09

9.“ศาลาคู่ว่านโซ่ว”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        ศาลาคู่ว่านโซ่วประกอบด้วยศาลาชายคาสองคู่ที่มีรูปร่างแปลกตาและมีสัดส่วนที่สวยงาม หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินและสีเหลืองที่มีสีสันสดใส เดิมสร้างขึ้นในจงหนานห่ายและย้ายไปที่วิหารแห่งสวรรค์ ในปีค.ศ. 1975 ฐานศาลาคู่ว่านโซ่วมีรูปร่างคล้ายลูกพีชอายุยืน ในวัฒนธรรมจีน ลูกพีชมีความหมายมงคล หมายถึงมีอายุยืนยาว

10

10.“การตกแต่งเพดานของศาลาคู่ว่านโซ่ว”  ภาพโดย หวู่เชายิง

        โครงสร้างของศาลาคู่ว่านโซ่วนั้นงดงาม เป็นศาลาแบบวงแหวนคู่ ประกอบด้วยศาลาสวนสองชายคา จุดตัดของวงกลมสองวงเป็นจุดศูนย์กลางของเสาสองต้นที่อยู่ติดกันของศาลาทรงกลมพอดี เสาด้านนอก 2 ต้นของศาลาหลังหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นเสาด้านในของศาลาอีกหลังในเวลาเดียวกัน และศาลาทั้งสองมีเสา 4 เสาร่วมกัน การตกแต่งเพดานของศาลาคู่ว่านโซ่วมีรูปร่างที่เป็นเอกลักษณ์และลวดลายภาพวาดที่มีสีสันของงดงาม เป็นศูนย์รวมแบบของเทคโนโลยีการตกแต่งอาคารไม้แบบจีนที่สมบูรณ์

ศูนย์วัฒนธรรมจีน ณ กรุงเทพฯ

曼谷中国文化中心是中国文化和旅游部派驻泰国曼谷的官方机构,以介绍中泰文化,促进两国文化交流为目的,面向泰国公众不间断开展文化活动,提供教学培训和信息服务。